สรุปโดย AI
เศรษฐกิจสีชมพูเติบโตอย่างรวดเร็วทั่วโลก ไทยกลายเป็นศูนย์กลางสำคัญในเอเชียด้วยสังคมเปิดกว้างและการสนับสนุนจากภาครัฐ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวและไมซ์
ไทยจะบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมในปี 2025 สะท้อนความก้าวหน้าเรื่องสิทธิ LGBTQ+ และดึงนักท่องเที่ยว LGBTQ+ ที่มีกำลังซื้อสูงเข้าประเทศ
การยกเลิกนโยบาย DEI ของทรัมป์กระทบภาพลักษณ์และความเชื่อมั่น LGBTQ+ ในสหรัฐฯ และอุตสาหกรรมไมซ์/ท่องเที่ยว แต่ประเทศอื่นอย่างไต้หวัน เม็กซิโก จีน ก็เติบโตขึ้น
สหรัฐฯ คาดเป็นตลาด Pink Economy ที่ใหญ่สุดราว 4.7 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่เม็กซิโกประมาณ 65,000 ล้านดอลลาร์ และจีน 300,000–500,000 ล้านดอลลาร์
ไทยมีโอกาสขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่าน LGBTQ+ เช่น InterPride World Conference 2025 คาดสร้างรายได้ 1,140 ล้านบาท และ World Pride 2030 ที่อาจเกิดขึ้น พร้อมโอกาสในสุขภาพ การเงิน บันเทิง และเทคโนโลยี AI สำหรับ LGBTQ+
เศรษฐกิจสีชมพู (Pink Economy) หรือเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับชุมชน LGBTQ+ เติบโตอย่างรวดเร็วทั่วโลก เนื่องจากการสนับสนุนสิทธิและความเท่าเทียม รวมถึงโอกาสทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้นในหลายภาคส่วน เช่น การท่องเที่ยวและการบันเทิง และหลายประเทศเริ่มเห็นศักยภาพทางเศรษฐกิจจากกลุ่มผู้บริโภค LGBTQ+ ซึ่งส่งผลให้เกิดการขยายตัวในตลาดนี้ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยได้กลายเป็นศูนย์กลางสำคัญของเศรษฐกิจสีชมพูในภูมิภาคเอเชีย ด้วยสังคมที่เปิดกว้างและการสนับสนุนจากภาครัฐ ทำให้เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมและแหล่งโอกาสใหม่สำหรับนักลงทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การจัดงานไมซ์ระดับโลก
Keytakeaways
การที่โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศยกเลิกนโยบายด้าน Diversity, Equity & Inclusion (DEI) จุดกระแสต่อต้านจากองค์กรข้ามชาติและแรงงานกลุ่มหลากหลายทางเพศ ซึ่งอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ของสหรัฐฯ ในด้านสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมทางสังคม ในทางกลับกัน การที่ไทยบังคับใช้กฎหมายสมรสเพศเดียวกันในปี 2025 สะท้อนถึงความก้าวหน้าด้านสิทธิ LGBTQ+ ซึ่งไม่เพียงเสริมสร้างภาพลักษณ์ประเทศในระดับสากล แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญในการดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยว LGBTQ+ ซึ่งมีกำลังซื้อสูงและมักเลือกเดินทางไปยังประเทศที่เปิดกว้าง การเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้ไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางด้านสิทธิและการท่องเที่ยว LGBTQ+ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ไมซ์ และธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้อง
_1764258160345.jpg)
Pink Economy กับความเคลื่อนไหวทางการเมืองสหรัฐฯ
ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจสีชมพู หรือ Pink Economy ได้กลายเป็นหนึ่งในภาคเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก โดยได้รับแรงผลักดันจากการสนับสนุนสิทธิและความเท่าเทียม รวมถึงการจัดกิจกรรมระดับโลกที่ดึงดูดนักเดินทาง และนักลงทุนจากทั่วทุกมุมโลก สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้หลายภาคส่วน เช่น การท่องเที่ยว ความบันเทิง และการจัดงานไมซ์ระดับโลกเติบโตอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของเศรษฐกิจสีชมพูยังมาจากการที่ธุรกิจและอุตสาหกรรมต่าง ๆ เริ่มมองเห็นศักยภาพในการตลาดจากกลุ่มผู้บริโภค LGBTQ+ ที่มีมูลค่าสูง โดย LGBT Capital บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินที่เชี่ยวชาญด้านข้อมูลทางเศรษฐกิจเกี่ยวกับกลุ่ม LGBTQ+ ได้คาดการณ์ว่าในปี 2568 สหรัฐอเมริกาจะมีตลาดที่ใหญ่ที่สุดสำหรับเศรษฐกิจสีชมพู โดยมีมูลค่าประมาณ 4.7 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งมาจากปัจจัยหลายประการ เช่น อำนาจซื้อสูง การเพิ่มขึ้นของการยอมรับทางสังคมและสิทธิทางกฎหมายสำหรับบุคคล LGBTQIA+ ฐานผู้บริโภคที่หลากหลาย และกลุ่มคนรุ่นใหม่ เป็นต้น
โดยเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ เช่น ประเทศเม็กซิโก และประเทศจีน แม้จะมีตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็ว (ตลาดเม็กซิโกมีมูลค่าประมาณ 65,000 ล้านดอลลาร์ และตลาดจีนมีมูลค่าระหว่าง 300,000 ถึง 500,000 ล้านดอลลาร์) แต่ยังไม่สามารถเทียบเคียงกับขนาดของตลาดในสหรัฐอเมริกาได้ ในขณะที่ประเทศไต้หวัน ซึ่งมีจุดยืนก้าวหน้าในเรื่องสิทธิของกลุ่ม LGBTQIA+ ในเอเชีย ก็กำลังเติบโตขึ้นเป็นผู้เล่นสำคัญในเศรษฐกิจสีชมพู แต่ยังไม่สามารถเทียบได้กับผลกระทบทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในภาคนี้

อย่างไรก็ตาม เมื่อต้นปี 2568 โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ประกาศยกเลิกนโยบาย DEI (Diversity, Equity, and Inclusion) ซึ่งมีเป้าหมายในการส่งเสริมความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วมของทุกกลุ่มในสังคม ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง โดยเฉพาะจากกลุ่มที่สนับสนุนสิทธิของชาว LGBTQ+ และองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในเชิงสังคม แต่ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจสีชมพู (Pink Economy) ซึ่งเป็นภาคเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และมีมูลค่ามหาศาล โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่พึ่งพากลุ่ม LGBTQ+ เป็นฐานผู้บริโภคหลัก เช่น การท่องเที่ยว การเดินทาง ความบันเทิง และแบรนด์ไลฟ์สไตล์ โดยการยกเลิกนโยบาย DEI อาจสร้างความไม่มั่นใจให้กับผู้บริโภคในกลุ่มนี้ ส่งผลให้พฤติกรรมการใช้จ่ายเปลี่ยนแปลงไป และทำให้ธุรกิจที่เคยได้รับการสนับสนุนจากกลุ่ม LGBTQ+ เผชิญกับความท้าทายมากขึ้น
นอกจากนี้ การยกเลิกนโยบาย DEI อาจส่งผลให้สหรัฐฯ สูญเสียสถานะในฐานะจุดหมายปลายทางสำคัญของอุตสาหกรรมไมซ์ที่เป็นมิตรกับ LGBTQ+ เนื่องจากอาจนำไปสู่การลดลงของงบประมาณสนับสนุนสำหรับการจัดงาน ประชุม และโครงการที่เกี่ยวข้องกับสิทธิของกลุ่ม LGBTQ+ ภายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง องค์กรไม่แสวงหากำไร (NGOs) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนประเด็นสิทธิมนุษยชนและเป็นแรงผลักดันหลักในการจัดกิจกรรมรณรงค์ ประชุม และสัมมนาระดับนานาชาติ อาจได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ และอุตสาหกรรมไมซ์ในสหรัฐฯ อาจสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขัน

ประเทศไทย LGBTQ+ โอบรับความหลากหลาย
ในขณะที่เศรษฐกิจสีชมพูในสหรัฐอเมริกากำลังเผชิญกับความท้าทายจากการยกเลิกนโยบายการสนับสนุน DEI (Diversity, Equity, and Inclusion) หลายประเทศทั่วโลกกลับเล็งเห็นถึงโอกาสในการพัฒนา และขยายตัวในตลาดเศรษฐกิจสีชมพู ซึ่งเป็นกลุ่มตลาดที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยประเทศไทยสามารถก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางสำคัญของเศรษฐกิจสีชมพูในภูมิภาคเอเชีย จากแรงสนับสนุนจากภาครัฐ และภาคเอกชนที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตร และปลอดภัยสำหรับทุกคน รวมถึงการที่สังคมไทยที่เปิดกว้างต่อชุมชน LGBTQ+
นอกจากนี้ ในปี 2568 ประเทศไทยได้ยกมาตรฐานการยอมรับความหลากหลายทางเพศ โดยการบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมที่ให้บุคคลทุกเพศไม่ว่าจะเป็นชาย หญิง หรือบุคคลที่มีอัตลักษณ์ทางเพศต่าง ๆ สามารถจดทะเบียนสมรสได้อย่างเท่าเทียม เปิดโอกาสให้กลุ่ม LGBTQ+ สามารถแสดงออกและมีสิทธิที่เท่าเทียมในด้านการสมรส ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงให้กับเศรษฐกิจสีชมพู

การเปิดกฎหมายสมรสเท่าเทียมอาจส่งผลดีต่อการขยายตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องในระดับเอเชีย เนื่องจากหลายประเทศในภูมิภาคยังไม่มีนโยบายรองรับสิทธิทางการสมรสของกลุ่ม LGBTQ+ อย่างเท่าเทียม อย่างไรก็ตาม สำหรับประเทศที่มีนโยบายเปิดกว้างในการสมรสเท่าเทียม เช่น ไทย ไต้หวัน และญี่ปุ่น (ในบางจังหวัด) อาจกลายเป็นศูนย์กลางสำคัญสำหรับการท่องเที่ยวของชุมชน LGBTQ+ การลงทุนจากต่างประเทศ การจัดงานไมซ์ และการพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมภาพลักษณ์ของภูมิภาคเอเชียให้เป็นพื้นที่ที่ทันสมัย เปิดรับความหลากหลาย และเป็นมิตรต่อทุกคน

LGBTQ+ เสริมพลังให้อุตสาหกรรมไมซ์สู่การจัดงานระดับโลก
ในยุคที่ความหลากหลาย และการยอมรับความแตกต่างกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก การเติบโตของเศรษฐกิจสีชมพูจึงเข้ามาช่วยยกระดับเศรษฐกิจ ซึ่งประเทศไทยในฐานะ Pride Friendly Destination ได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับการจัดงานระดับนานาชาติ ด้วยการสนับสนุนด้านนโยบายของภาครัฐ สภาพแวดล้อมที่เปิดกว้าง และการต้อนรับที่อบอุ่น ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นพื้นที่ที่ต้อนรับนักเดินกลุ่ม LGBTQ+ ทางทั่วโลก
จากการที่ประเทศไทยมีจุดยืนที่ชัดเจนในการขับเคลื่อนความเท่าเทียม มาจากแรงขับเคลื่อนของภาครัฐที่มุ่งมั่นพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางการจัดงานไมซ์ระดับโลกที่เน้นความเท่าเทียม และสนับสนุนสิทธิของ LGBTQ+ ผ่านการดึงงานสำคัญจากต่างประเทศเข้ามาจัดงานในประเทศ เช่น งาน InterPride World Conference 2025 ที่คาดการณ์ว่าจะสามารถสร้างรายได้ 1,140 ล้านบาท อ้างอิงจากข้อมูลจาก San diago โดยสามารถต่อยอดไปสู่การจัดงาน เทศกาลระดับโลกอย่าง World Pride 2030 ได้ในอนาคต ซึ่งเน้นแนวคิด DEIs (Diversity, Equity, and Inclusion) ที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (UNSDG) โดยเฉพาะการสร้างความเท่าเทียมและส่งเสริมสิทธิของกลุ่ม LGBTQ+ เพื่อพัฒนาสังคมไทยให้มีความเป็นธรรมและเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังคงยึดมั่นในมาตรฐานสากล (Global Norms) ที่เกี่ยวข้องกับความเท่าเทียมและสิทธิมนุษยชนถือเป็นการยกระดับสิทธิของ LGBTQ+ และกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านอุตสาหกรรมไมซ์

นอกจากการเป็นพื้นที่จัดงานไมซ์แล้ว การมีจุดยืนที่ชัดเจนของประเทศไทยยังสามารถส่งต่อให้อุตสาหกรรมอื่น ๆ ในประเทศเติบโตได้เช่นกัน อาทิ อุตสาหกรรมการแพทย์ และศัลยกรรมแปลงเพศที่ทีมสำรวจและวิจัยจากศูนย์ AI มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับ Canvas Ventures International คาดการณ์ว่าตลาดการดูแลสุขภาพ LOBTIA2S+ ในประเทศไทยจะมีมูลค่าถึง 500 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2568 ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Tourism), อุตสาหกรรมทางการเงินที่คาดว่าจะสามารถสร้างได้กว่า 2 พันล้านดอลลาร์ อุตสาหกรรมบันเทิงและวัฒนธรรม LGBTQ+ สามารถพัฒนาให้เป็น Soft Power ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักลงทุนในอุตสาหกรรมบันเทิงได้มากขึ้น, ตลอดจนอุตสาหกรรมงานเทคโนโลยีและ AI สำหรับกลุ่ม LGBTQ+ ช่วยให้ประเทศกลายเป็นจุดหมายปลายทางของ Tech Startup และนักพัฒนา AI เป็นต้น
ดังนั้น การขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยผ่านจุดยืนด้านความหลากหลายทางเพศเป็นการเปิดโอกาสให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำในด้านความเท่าเทียมทางสังคมและนวัตกรรมระดับโลก และผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจในมิติใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพในการดึงดูดการลงทุนจากทั่วโลก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี การแพทย์ ศิลปะ และการบันเทิงที่สอดคล้องกับแนวทางการส่งเสริมความเท่าเทียม
