AI Summary
What MICE Need to know?
ในอนาคต Wellness จะเป็น “มาตรฐานพื้นฐาน” ของงานไมซ์ ผู้เข้าร่วมงานยุค Longevity + Burnout Society ต้องการงานที่ผสานสุขภาพ การพักฟื้น และประสบการณ์สมดุล เมืองและสถานที่จัดงานต้องมี Healthy MeetingStandards เช่น อากาศคุณภาพสูง โภชนาการเฉพาะบุคคล และพื้นที่พักฟื้น งานไมซ์ที่ไม่มี Wellness Integration จะเสียเปรียบในการแข่งขัน
AI-driven Wellness จะกลายเป็น Game-Changer และเป็น Infrastructure ใหม่ของงานไมซ์ เช่น AI Companions สามารถวิเคราะห์พลังงาน ความเหนื่อยล้าของผู้เข้าร่วม และปรับตารางกิจกรรมให้เหมาะ, Smart Venue ต้องรองรับ Wearables และระบบ Bio-feedback เพื่อยกระดับประสบการณ์, ข้อมูลความเป็นอยู่ของผู้ร่วมงาน (Well-being Data) จะกลายเป็น Asset เชิงกลยุทธ์ของเมืองไมซ์
Wellness MICE = Future Growth Engine สู่การเป็น Global Knowledge & Wellness Hub งานแพทย์–สุขภาพ–Longevity จะเติบโตเร็ว และสร้างภาพลักษณ์เมืองได้ จะต้องเชื่อม Wellness เข้าโครงสร้างเมือง (Nature-based, Recovery Zone, Age-friendly Infrastructure) เพื่อเป็นกลไกเร่งการพัฒนานวัตกรรม (Innovation Commercialization) และสร้างเศรษฐกิจมูลค่าสูงอย่างต่อเนื่อง
Wellness คือโครงสร้างใหม่ของเศรษฐกิจและเมืองไมซ์ (Structural Shift) ที่ส่งผลโดยตรงต่อการออกแบบเมืองอุตสาหกรรมไมซ์ในอนาคต และได้ขยับไปสู่ “มาตรฐานพื้นฐานของประสบการณ์ไมซ์” (Baseline Experience Requirement) ที่กำลัง Re-Shape แนวคิดของไมซ์ทั่วโลก ตั้งแต่การออกแบบ Urban Flow สำหรับ Smart MICE Cities การสร้าง Regenerative Destinations ที่ฟื้นฟูทั้งผู้คนและพื้นที่ ไปจนถึงการ Integrate เทคโนโลยี Well-Tech เข้ากับระบบนิเวศไมซ์อย่างไร้รอยต่อ

3 High-Impact Factors ที่จะกำหนดอนาคตของตลาด
ไมซ์ทั่วโลก
1. Longevity Shift อายุขัยเฉลี่ยเข้าสู่ 85+ ปี
กลุ่ม “Active Silver Travelers” และผู้เข้าร่วมงานวัยทำงานที่ใส่ใจสุขภาพ เป็นฐานผู้เข้าร่วมงานหลัก ความต้องการของกลุ่มนี้ผลักให้เมืองไมซ์ควรออกแบบประสบการณ์การประชุมที่เอื้อต่อสุขภาวะ เช่น พื้นที่นั่ง–ยืนสลับ คุณภาพอากาศที่ดี อาหารสุขภาพ หรือกิจกรรมผ่อนคลายระหว่างเซสชัน
ความต้องการงานประชุมแบบ Wellness-Integrated เช่น Morning Yoga, Walking Meeting, Brain-Food Catering เพิ่มสูงขึ้น จึงเป็นเหตุผลให้เมืองไมซ์ต้องออกแบบ “Healthy Meeting Standards” แนวทางและมาตรฐานการจัดประชุมที่ส่งเสริมสุขภาพ (Health-Promoting Meetings) ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้การประชุม งานแสดงสินค้า และงานอีเวนต์ในภาคไมซ์ สนับสนุนสุขภาพกาย–ใจ–พฤติกรรมของผู้เข้าร่วม พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพในการมีส่วนร่วม (Engagement) และคุณภาพของประสบการณ์โดยรวม
งานขนาดใหญ่ เช่น Medical Congress, Longevity Expo และ Wellness Convention จะเติบโต2. AI-driven Wellness – เทคโนโลยีเปลี่ยนงานไมซ์ให้เป็น Real-time Health Experience
2. AI-driven Wellness – เทคโนโลยีเปลี่ยนงานไมซ์ให้เป็น Real-time Health Experience
งานไมซ์ต้องสามารถเก็บข้อมูลสุขภาพของผู้ร่วมงาน (อย่างปลอดภัย) เพื่อนำไปออกแบบประสบการณ์เฉพาะบุคคล
Event Organizer สามารถสร้าง “Personal Energy Map” เพื่อปรับกิจกรรมให้สอดคล้องกับระดับความเหนื่อยล้าของผู้เข้าร่วม
สถานที่จัดประชุมสามารถยกระดับด้วย Smart Air Quality, Smart Lighting และ Stress-monitoring Spaces
3. Global Stress Economy –ทั่วโลกเผชิญภาวะ Burnout, Anxiety และ Cognitive Overload ทำให้ “Calm & Connected Spaces” เป็นสิ่งจำเป็น
งานประชุมที่ผสมผสาน Well-being-centric MICE ที่เน้นคุณภาพประสบการณ์ผู้เข้าร่วมเป็นศูนย์กลาง เช่น การจัดงานจากประเทศญี่ปุ่น Wellness Incentive Retreat (ฮอกไกโด) ที่ผสมผสาน Well-being–Driven Incentive Programs โดยมีกิจกรรม Digital Detox Session, Nature-based Team Building, Mindfulness & Healing Activities เนื่องจากตลาด Incentive กำลังเติบโตสู่ “Purposeful Travel” ที่เน้นสุขภาวะและความยั่งยืนมากกว่ากิจกรรมความบันเทิงแบบเดิม ๆ
Demand เพิ่มขึ้นในกิจกรรม Mindfulness Break, Nature-based Meeting, Art Therapy Corners, Quiet Zone หรือ Recovery Zone
เมือง–สถานที่จัดงานที่สนับสนุน Work–Wellness Balance จะเป็นจุดแข็งเชิงแข่งขัน

Future Industry x Wellness Economy กับ 6 แกน
เศรษฐกิจอนาคตที่ไทยสามารถเชื่อมโยงกับ
Wellness–MICE
ตามข้อมูลจากรายงานของ Global Wellness Institute (GWI) 2025 แสดงให้เห็นว่าตลาด Wellness ของไทยมีมูลค่าสูงกว่า 40.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.45 ล้านล้านบาท ส่งให้ไทยขึ้นแท่นหนึ่งในตลาด Wellness ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย และโดดเด่นอย่างมากในด้าน Wellness Tourism เมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาค ซึ่งตอกย้ำความพร้อมด้านระบบสาธารณสุขและบริการทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐานระดับโลก
นอกจากนี้ รายงานของ GWI ยังชี้ว่าไทยเป็นหนึ่งในตลาดสปาและบริการสุขภาพ ที่มีอัตราการเติบโตสูงและมีขนาดใหญ่ติดอันดับโลก เสริมความโดดเด่นของประเทศในด้าน Human Performance, Wellness Services และประสบการณ์เชิงสุขภาวะซึ่งสามารถต่อยอดเป็นจุดแข็งสำคัญที่เชื่อมโยงเข้าสู่อุตสาหกรรมไมซ์ได้อย่างทรงพลัง ทั้งในมิติของการออกแบบประสบการณ์ผู้เข้าร่วมงานและการพัฒนาเมืองไมซ์ในอนาคต
ซึ่งไทยสามารถต่อยอดไมซ์ให้เป็นแพลตฟอร์มเร่งการเติบโตของ Wellness Economy ผ่าน 6 แกนเศรษฐกิจอนาคต เพื่อสร้างความได้เปรียบระดับภูมิภาค และผลักดันให้ไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่มี Wellness แบบครบวงจร ได้แก่
Longevity & Preventive Health
Health Innovation, Wearables & AI Diagnostics
Human Performance & Cognitive Enhancement
FoodTech, Precision Nutrition & Regenerative Food Systems
MICE as a Global Knowledge & Innovation Platform
Biotech, Regenerative Medicine & Age-tech

จากจุดแข็ง… สู่ “โอกาสพัฒนา” ที่ไทยควรก้าวต่อ
แม้ประเทศไทยจะมีต้นทุนโดดเด่นด้านความเป็น Wellness Destination ทั้งการแพทย์แผนไทย แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ อาหารสุขภาพ หรือ Wellness ระดับโลก แต่เพื่อก้าวขึ้นเป็น Wellness–MICE Nation อย่างเต็มรูปแบบ ไทยจำเป็นต้องเร่งยกระดับให้สอดคล้องกับความคาดหวังใหม่ของผู้จัดงานและผู้เข้าร่วมระดับนานาชาติ โดยเฉพาะในยุคที่เมืองไมซ์ทั่วโลกกำลังก้าวไปสู่ Smart, Personalized และ Recovery-centric Meeting Ecosystems
ตัวอย่างเช่น สิงคโปร์และเมืองบาร์เซโลนากำลังยกระดับงานไมซ์ให้เป็น Smart Wellness Platforms ที่ผสานเทคโนโลยี, Personalized Care, และ Healing Arts เข้าด้วยกันอย่างลงตัว ทั้งผ่านงานอย่าง Wellness Festival Singapore หรือความร่วมมือระหว่าง WHO–MNAC–Jameel Arts & Health Lab ทำให้งานไมซ์กลายเป็นพื้นที่ทดลองประสบการณ์สุขภาพรุ่นใหม่ และเป็นเครื่องมือเปลี่ยนเมืองให้เป็น Global Knowledge & Wellness Hub ดึงดูดนักลงทุน สตาร์ทอัพด้านสุขภาพ และนักวิจัยแนวหน้าในระดับโลก
สำหรับประเทศไทย เส้นทางการพัฒนาต่อจากนี้จึงต้องขยับจาก “Wellness Experiences” ไปสู่ “Smart Wellness Infrastructure” ผ่านการสร้าง
Smart Wellness Standards เช่น Bio-feedback Systems, Inclusive Design, Recovery Systems ในศูนย์ประชุมและสถานที่จัดงาน
City-level Value Proposition ที่ชัดเจน เช่น กรุงเทพฯ Tech-driven Wellness Capital , ภูเก็ต Regenerative Wellness Hub และเชียงใหม่ Nature-based Healing Capital
ตัวชี้วัด Longevity & Wellness Economic Impact Metrics ที่ใช้วัดผลอย่างเป็นระบบ
การจัดตั้ง National Wellness–MICE Council เพื่อเชื่อมรัฐ–เอกชน–สถาบันการแพทย์–เทคโนโลยี ให้ขับเคลื่อนตลาดสุขภาพอย่างเป็น ecosystem
ในปี 2026 การที่ภูเก็ตเป็นเจ้าภาพ Global Wellness Summit ถือเป็นบทพิสูจน์สำคัญของความพร้อมประเทศไทย ในการก้าวขึ้นสู่ศูนย์กลาง Wellness ระดับโลก ทั้งในด้านศักยภาพเมือง ประสบการณ์ผู้เข้าร่วม และนวัตกรรมด้านสุขภาพ–เวลเนส โดยคาดว่าจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจมากกว่า 324 ล้านบาท จากผู้เข้าร่วมกว่า 500–600 คน ครอบคลุมการเดินทาง ที่พัก อาหาร บริการสุขภาพ–เวลเนส และกิจกรรมเชิงประสบการณ์ ซึ่งจะช่วยตอกย้ำตำแหน่งของไทยในฐานะผู้นำ Wellness Tourism Hub และต่อยอดไปสู่บทบาทใหม่ในฐานะ Wellness–MICE Nation ที่แข็งแกร่งในระดับนานาชาติ

นโยบายสนับสนุน: ฐานสำคัญของการยกระดับไทยสู่
Wellness–MICE Nation
รัฐบาลประกาศนโยบายผลักดัน “เศรษฐกิจสร้างสุขภาวะและคุณภาพชีวิต” และ “เศรษฐกิจชีวภาพ–สุขภาพ–การแพทย์” เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมาย พร้อมวางทิศทางให้ไทยก้าวสู่ Medical & Wellness Hub ของเอเชีย เช่น การพัฒนาศูนย์สุขภาพนานาชาติยกระดับสถานพยาบาลให้ได้มาตรฐานสากล, ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพผสานการท่องเที่ยวกับบริการสุขภาพ สปา นวดแผนไทย, พัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาอุปกรณ์การแพทย์ของไทย ตลอดจนสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนกระตุ้นการลงทุนร่วมมือกันพัฒนา
ทั้งนี้ ในมุมมองอนาคต ประเทศไทยและอุตสาหกรรมไมซ์จะกลายเป็นเครื่องยนต์สำคัญของ Wellness Economy ในการเร่งการเติบโตของประเทศ ผ่านตัวขับเคลื่อนหลัก 3 ประการ ได้แก่
Knowledge Acceleration งานประชุมด้านแพทย์ สุขภาพ และ Longevity จะเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนความรู้ เทคโนโลยีและมาตรฐานใหม่แบบรวดเร็ว ช่วยให้ประเทศเจ้าภาพเข้าถึงเทรนด์และพัฒนาอุตสาหกรรมได้ก่อนประเทศอื่น
novation Commercialization Healtech, AI Longevity, Human Performance Tech จะถูกโชว์ ทดลอง และ Scale ผ่านงานไมซ์ ทำให้เมืองเจ้าภาพพัฒนาเป็น Innovation Hub และดึงการลงทุนได้อย่างเป็นรูปธรรม
Destination Repositioning งานระดับโลกสามารถเปลี่ยน Perception เมืองได้ภายในไม่กี่ปี เช่น ภูเก็ตสู่ศูนย์กลาง Regenerative Wellness หรือกรุงเทพฯ ในบทบาท Medical & Tech-driven Wellness Capital สะท้อนว่าไมซ์เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ในการกำหนดตำแหน่งเมืองและยกระดับศักยภาพประเทศอย่างยั่งยืน

Core Drivers to Thailand as a Wellness MICE
Hub สำหรับประเทศไทย
เมื่อ Wellness เป็นฐานการแข่งขันใหม่ของอุตสาหกรรมไมซ์ การกำหนด Position ใหม่ของไทยจำเป็นต้องอาศัย “โครงสร้างขับเคลื่อนเชิงกลยุทธ์” ที่รองรับทั้งประสบการณ์ผู้เข้าร่วม มาตรฐานสุขภาวะ และศักยภาพของเมือง ในระยะต่อไป 4 Core Drivers ต่อไปนี้จะเป็นแกนหลักของการพัฒนาที่ไทยต้องให้ความสำคัญอย่างยั่งยืน
Smart Wellness Venue: สถานที่จัดงานกลายเป็นระบบวิเคราะห์สุขภาพแบบเรียลไทม์ ช่วยปรับประสบการณ์ตามความเหนื่อยล้า อารมณ์ และจังหวะพลังงานของผู้เข้าร่วม
Holistic MICE Experience: งานไมซ์ไม่ได้มีแค่เนื้อหา แต่รวมกิจกรรมฟื้นฟูพลังงาน เช่น calm zone, art therapy, nature break เพื่อรองรับยุค Burnout Economyและ Longevity Society
Inclusive & Age-friendly City Standards: เมืองต้องออกแบบพื้นที่และระบบขนส่งที่ใช้ได้ทุกวัย โดยเฉพาะผู้เข้าร่วมที่มีอายุ 50+ ซึ่งเป็นฐานใหญ่ของตลาดไมซ์ใหม่
Data-driven Wellness Nation Branding: เมืองที่ใช้ข้อมูลจริงออกแบบประสบการณ์ จะสร้าง “
ตำแหน่งแบรนด์สุขภาพ” ที่คู่แข่งลอกเลียนแบบได้ยาก

MICE ก้าวสู่ Next-Gen Experience และ Wellness จึงกลายเป็น Strategic Factor และ KPI ของทุกงาน
อุตสาหกรรมไมซ์เปลี่ยนผ่านสู่ยุคที่ประสบการณ์แบบสุขภาวะและความเป็นส่วนตัว เป็นตัวขับเคลื่อนหลักของความสำเร็จ งานไมซ์ยุคใหม่จึงต้องผสานเทคโนโลยีอัจฉริยะและการออกแบบพื้นที่เพื่อฟื้นฟูพลังงาน ให้เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์แบบองค์รวม เพื่อผลักดันให้เมืองไมซ์ก้าวสู่มาตรฐานระดับสากลและรองรับความต้องการใหม่ของผู้เข้าร่วมในยุค Future-ready MICE Economy
การผสาน AI Companions กับ Zen Zone จะปลดล็อกประสบการณ์ที่ Personalized, Immersive สู่ Future-Ready ด้วย 2 แนวคิดสำคัญ
Personalized Experience: AI Companions กลายเป็น Game-Changer ของ Wellness ใน MICE ด้วยความสามารถวิเคราะห์ข้อมูลผู้เข้าร่วมแบบเรียลไทม์ ปรับกิจกรรมและเนื้อหาให้ตรงใจ เพิ่ม Engagement & Retention พร้อมคาดการณ์ความต้องการเชิงลึก สร้าง ประสบการณ์เฉพาะตัวที่เหนือชั้นและไม่เหมือนใคร
Emotional & Cognitive Recovery – การสร้าง Zen Zone หรือพื้นที่พักผ่อนแบบอัจฉริยะ ไม่ใช่แค่ลดความเครียด แต่เป็นการรีชาร์จพลังสมองและอารมณ์ ในรูปแบบของ Immersive Recovery Lab ให้ผู้เข้าร่วมงานพร้อมคิดสร้างสรรค์และมีส่วนร่วมสูงสุด พื้นที่เหล่านี้เป็นกลยุทธ์เชิงลึกที่เปลี่ยน Wellness ให้เป็น Competitive Edge เพิ่ม Retention, Engagement

Wellness Economy ไม่ได้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเชิงตัวเลขเท่านั้น แต่ยังมีศักยภาพในการสร้างประสบการณ์เชิงคุณค่า (Experiential Value) พร้อมกันนั้นยังสามารถเชื่อมโยงกับ MICE Industry ในฐานะกลไกสำคัญในการสร้าง ระบบนิเวศเชิงบูรณาการของ Wellness Economy สิ่งนี้ทำให้ MICE สามารถทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของการรวมตัวผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย ช่วยให้เกิด Innovation Ecosystem ที่ขับเคลื่อนแนวคิดสุขภาพครบมิติ, เทคโนโลยี, และวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน Wellness Megashifts จึงเท่ากับ เงื่อนไขใหม่ของการแข่งขันไมซ์ หากไทยยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน มาตรฐานข้อมูล และจุดยืนประเทศให้สอดคล้องจะสามารถก้าวขึ้นเป็น Future Wellness–MICE Nation ของเอเชีย ด้วยจุดแข็งทางวัฒนธรรม ธรรมชาติ สุขภาพ และความสมดุลที่ไม่มีประเทศใดลอกเลียนแบบได้ง่าย
