ไมซ์ก้าวเข้าสู่ยุค Multipolar: บริบทใหม่ที่ผลักดันให้บทบาทของอุตสาหกรรมไมซ์ต้องมองและก้าวให้ไกลกว่าเดิม
โครงสร้างเศรษฐกิจโลกกำลังเปลี่ยนผ่านจากยุคโลกขั้วเดียว (Unipolar World) สู่ โลกหลายขั้ว (Multipolar World) อย่างชัดเจน สหรัฐฯ จีน สหภาพยุโรป อินเดีย ตะวันออกกลาง และอาเซียน ต่างเร่งสร้าง “Economic Spheres” หรือเขตอิทธิพลทางเศรษฐกิจของตน ผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยีขั้นสูง อุตสาหกรรมอนาคต และการพัฒนาระบบนิเวศด้านนวัตกรรมอย่างเข้มข้น ท่ามกลางการจัดระเบียบโลกใหม่ โลกกำลังเผชิญความปั่นป่วนเชิงโครงสร้าง (Structural Turbulence) โดยแรงขับเคลื่อนสำคัญคือ การแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างสหรัฐ–จีนที่ทวีความเข้มข้น ครอบคลุมเทคโนโลยี AI, เซมิคอนดักเตอร์ ซัพพลายเชน และความมั่นคง ทำให้หลายประเทศต้องเลือกข้าง หรือบริหารความสัมพันธ์อย่างสมดุล
ขณะเดียวกัน การเมืองแบบกลุ่มและภูมิภาคนิยมแข็งแรงขึ้น ทำให้ภูมิภาคอย่างอาเซียน สหภาพยุโรป ตะวันออกกลาง อินเดีย และแอฟริกา กลายเป็นศูนย์กลางอำนาจและเศรษฐกิจใหม่ วิกฤตหลายด้านที่เกิดพร้อมกัน ตั้งแต่ความขัดแย้งทางการเมือง–การทหาร ไปจนถึงความเปราะบางของโลจิสติกส์และซัพพลายเชน เร่งให้ประเทศต่าง ๆ มุ่งสร้างความมั่นคงของตนเอง ทั้งอธิปไตยทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด และห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่น อย่างไรก็ตาม การเดินทางและการเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศเริ่มฟื้นตัว แต่มาพร้อมความคาดหวังใหม่ในการมองหาปลายทางซึ่งทำหน้าที่เป็น “จุดเชื่อมโยง” มากกว่าจุดหมาย ส่งผลให้รัฐบาลทั่วโลกต้องปรับกลยุทธ์ จากการเน้นดึงดูดเงินลงทุนหรือจำนวนนักท่องเที่ยว ไปสู่การสร้างระบบเศรษฐกิจที่แข็งแรง ยืดหยุ่น และเชื่อมต่อกันได้ เพื่อรองรับความไม่แน่นอนระยะยาว ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าโลกยุคหลายขั้ว (Multipolar World) ต้องการ “พื้นที่กลาง” หรือ Neutral Platform ที่สามารถเชื่อมความร่วมมือข้ามอำนาจ ข้ามภูมิภาค และข้ามความขัดแย้งได้อย่างมีเสถียรภาพ

ทำไม MICE จึงเป็น “Neutral Integrator” ของโลกยุคหลายขั้ว
อุตสาหกรรมไมซ์ถูกยกระดับขึ้นสู่การเป็น “โครงสร้างพื้นฐานเชิงยุทธศาสตร์” (Strategic Infrastructure) ที่หลายประเทศใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในเกมภูมิรัฐศาสตร์เศรษฐกิจ (Geoeconomic Instrument) เพราะไมซ์ไม่ใช่แค่อุตสาหกรรมบริการ แต่เป็น “แพลตฟอร์มเชื่อมโลก” ที่รวมผู้คน องค์ความรู้ เทคโนโลยี การลงทุน ตลอดจนธุรกิจและอุตสาหกรรมใหม่ไว้ในพื้นที่เดียวกัน ส่งผลให้ไมซ์กลายเป็นเวทีในการกำหนดทิศทางความร่วมมือระดับโลก เปิดประตูให้ Talent และผู้นำเทคโนโลยีจากทั่วโลกเข้ามาสร้างเครือข่าย ทดลองโมเดลธุรกิจใหม่ และผลักดันเมืองหรือประเทศให้ก้าวสู่ศูนย์กลางระดับภูมิภาคและระดับโลกได้จริง
ภายใต้บริบทโลกที่แข่งขันด้วย “อำนาจการเชื่อมต่อ” (Connectivity Power) ประเทศไทยจึงต้องปรับบทบาทของอุตสาหกรรมไมซ์ให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลง คือการขยับจากผู้สนับสนุนการจัดงาน ไปสู่การเป็น “MICE Integrator” การบูรณาการทุกระบบที่เกี่ยวข้องกับไมซ์ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ นวัตกรรม อุตสาหกรรม การลงทุน รวมถึงความร่วมมือระหว่างประเทศ ให้ขับเคลื่อนร่วมกันในทิศทางเดียว การทำเช่นนี้ทำให้ไมซ์กลายเป็นกลไกเชิงยุทธศาสตร์ สอดคล้องกับทิศทางของโลกยุค Multipolar ที่แต่ละประเทศต่างเร่งสร้างพื้นที่อิทธิพลทางเศรษฐกิจของตนเอง
_1766135643492.jpg)
อย่างไรก็ตาม การจัดงานไมซ์ในไทยส่วนใหญ่ยังคงสร้างผลลัพธ์เชิงเศรษฐกิจแบบระยะสั้น (Short-term Spending) และกระจุกอยู่กับการเป็น “สถานที่จัดงาน” มากกว่าการเป็น “แพลตฟอร์มพัฒนาเศรษฐกิจ” ขณะเดียวกันผู้จัดงาน สมาคมระดับโลก นักลงทุน และผู้เล่นในแวดวงไมซ์ ไม่ได้ต้องการเพียง Venue หรือบริการ Standard An Event อีกต่อไป แต่ต้องการ MICE Solutions แบบครบวงจร สะท้อนว่าความคาดหวังต่อไมซ์ได้ยกระดับขึ้นอย่างสิ้นเชิง ทำให้การเชื่อมโยงข้ามอุตสาหกรรมได้กลายเป็น DNA ใหม่ของไมซ์ ผ่านการสร้างผลลัพธ์เชิงเศรษฐกิจที่ต้องสามารถออกแบบ “การร่วมมือแบบข้ามอุตสาหกรรม (Cross-industry Collaboration)” ที่เชื่อมผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholders) จากหลายภาคส่วนเข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ
ทั้งหมดนี้คือแรงผลักสำคัญที่ทำให้ไมซ์ไทยต้อง “ปรับตัวใหม่ (Reinvent)” สร้างบทบาทใหม่ในฐานะศูนย์กลางข่าวกรองเชิงกลยุทธ์ ตัวเร่งการเกิดนวัตกรรม และผู้บูรณาการระบบนิเวศระดับโลก ที่สามารถวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจและตลาดโลก เป็น ตัวกระตุ้นนวัตกรรม ที่สร้างโอกาสใหม่ ๆ ในหลากหลายอุตสาหกรรม และทำหน้าที่เป็นผู้เชื่อมโยงระบบนิเวศระดับโลก (Global Ecosystem) ที่เชื่อมโยงธุรกิจ นักลงทุน นักวิจัย และผู้สร้างสรรค์ไอเดียจากทั่วโลก การพัฒนาเหล่านี้จะต้อง ผสมผสานระหว่างอุตสาหกรรมหลักและอุตสาหกรรมอนาคต ได้แก่ Creative: ส่งเสริมการสร้างสรรค์และงานออกแบบที่มีเอกลักษณ์ไทย, Tech: นำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ในงานไมซ์ เช่น AR/VR, AI, และ Data Analytics, Health & Wellness: ผสานบริการด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีเข้าไปในประสบการณ์ไมซ์, Green: เน้นความยั่งยืน การลดคาร์บอน และการจัดงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยแนวทางนี้ ไมซ์ไทยจะกลายเป็น “เครื่องจักรพลังสูง” ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สร้างรายได้ กระตุ้นนวัตกรรม และเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางเศรษฐกิจและนวัตกรรมของภูมิภาคและโลก

ไมซ์ไทยในฐานะ Strategic Platform และ Integrator สำหรับอุตสาหกรรมอนาคต
ไมซ์จึงไม่สามารถเริ่มต้นการจัดงานด้วยคำถามว่า “จะจัดงานอะไรดี?” อีกต่อไป แต่ต้องมองว่างานไมซ์จะสามารถสร้างระบบนิเวศใด เชื่อมผู้เล่นกลุ่มใด และเร่งการเติบโตของอุตสาหกรรมเป้าหมายอย่างไร การกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมายจึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะให้ไมซ์เดินหน้าอย่างมีทิศทาง ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ MICE Intelligence Center คาดการณ์ไว้ได้แก่
1. Creative Economy (เศรษฐกิจสร้างสรรค์) + Ecosystem Collaboration Imperative
คอนเทนต์ นวัตกรรม และไอเดียได้กลายเป็นสินทรัพย์ทางเศรษฐกิจ ไมซ์ต้องพัฒนาเป็น “ตัวกลางเชิงกลยุทธ์” ที่เชื่อมทุกขั้นตอนของการสร้างคุณค่า ตั้งแต่การพบปะแลกเปลี่ยนความคิด การพัฒนาและทดสอบต้นแบบ ไปจนถึงการลงทุนและการต่อยอดเชิงพาณิชย์ เป้าหมายสำคัญคือการเปลี่ยนความคิดสร้างสรรค์ให้เป็นผลิตภัณฑ์หรือบริการที่สร้างรายได้ ดึงดูดผู้เล่นใหม่ และยกระดับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศอย่างเป็นระบบ ไมซ์จึงไม่ใช่เพียงพื้นที่จัดงาน แต่ต้องทำหน้าที่เป็นตลาดเชิงพลวัตและแพลตฟอร์มที่เชื่อมผู้สร้างสรรค์ เทคโนโลยี และนักลงทุน เปิดพื้นที่สำหรับการสร้าง ทดลอง และสาธิตนวัตกรรม พร้อมส่งเสริมความร่วมมือข้ามอุตสาหกรรม เพื่อก่อให้เกิดโอกาสทางธุรกิจและเศรษฐกิจใหม่ ในภาพรวมนี้ ไมซ์จะสามารถสร้างประโยชน์ให้ทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการ และสตาร์ทอัพสามารถทดลองไอเดียและทดสอบตลาดได้รวดเร็ว นักลงทุนและองค์กรเข้าถึง Talent ขณะที่ภาครัฐใช้ไมซ์เป็นเวทีขับเคลื่อนนโยบาย เมื่อทุกฝ่ายเชื่อมโยงกัน ไมซ์จึงทำหน้าที่พาไอเดียสู่ตลาด สร้างเครือข่ายนวัตกรรม และผลักดันการเติบโตอย่างยั่งยืน

2. Deep Tech & Global Supply Chain (อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, Digital, Data Center, เกษตรมูลค่าสูง, EV (Electric Vehicle), SAF (Sustainable Aviation Fuel) + Neutrality as Competitive Advantage
ประเทศไทยมี ความได้เปรียบเชิงภูมิรัฐศาสตร์ เพราะเป็นพื้นที่กลาง (Neutral Ground) ที่ปลอดจากความขัดแย้งทางการเมือง สามารถเปิดเวทีได้ทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออก นอกจากนี้ยังเป็น จุดตัดของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ในภูมิภาค ด้วยจุดแข็งนี้ ไทยสามารถใช้ความเป็นกลางและตำแหน่งเชิงยุทธศาสตร์เป็น แม่เหล็กดึงผู้ผลิต เทคโนโลยี และนักลงทุนระดับโลกเข้ามาสู่ระบบนิเวศของไทยได้ ไมซ์จึงมีศักยภาพที่จะยกระดับจากการเป็นปลายทางจัดงานไปสู่ศูนย์กลางห่วงโซ่อุปทานโลก และ ฐานลงทุนด้านเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งจะส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งไมซ์จะเป็นพื้นที่ประชุมที่เชื่อถือได้สำหรับดีลข้ามภูมิภาคตลอดจนเป็นแพลตฟอร์มเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน เชื่อม ผู้ผลิต – ซัพพลายเออร์ – การวิจัยและพัฒนา – นักลงทุน - ศูนย์กลางการปรับมาตรฐาน สำหรับเจรจามาตรฐานเทคโนโลยีระดับสากล เพื่อร่วมกันกำหนดมาตรฐาน กฎเกณฑ์ และแนวทางปฏิบัติร่วมกัน
และเมื่อไมซ์ถูกขับเคลื่อนประโยชน์จะกระจายไปยังทุกภาคส่วน ผู้ประกอบการ นักนวัตกรรม และสตาร์ทอัพจะมีเวทีในการโชว์เทคโนโลยี และต่อยอดสู่ตลาดข้ามภูมิภาคได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เนื่องจากไมซ์เป็นจุดเชื่อมต่อของผู้ผลิต (OEM) ซัพพลายเออร์ R&D และนักลงทุนจากทั่วโลก ขณะที่นักลงทุนและบริษัทผู้ซื้อสินค้าและบริการสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ ดีลระดับสากล และสตาร์ทอัพที่ผ่านการตรวจสอบ ช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความรวดเร็วในการตัดสินใจลงทุน ในมุมของภาครัฐและผู้กำหนดนโยบาย ไมซ์สามารถถูกใช้เป็นแพลตฟอร์มสำคัญในการสร้าง Tech & Supply Chain Cluster เพื่อผลักดันนโยบายอุตสาหกรรมใหม่ เช่น Semiconductor, EV, SAF และ Data Center ให้เกิดขึ้นจริง ผ่านความร่วมมือข้ามประเทศอย่างเป็นรูปธรรม

3. Future Health & Green Economy (อุตสาหกรรม BCG, สุขภาพ, Biotech, Functional Food) + Sustainability & Wellness as Baseline Requirements
เศรษฐกิจโลกวันนี้กำลังขับเคลื่อนด้วย 3 แรงหลักคือ อุตสาหกรรมสุขภาพ นวัตกรรมอาหาร และเศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานใหม่ และบทบาทของไมซ์จึงต้องก้าวจากการเป็นพื้นที่จัดงาน ไปสู่การเป็น Health & Green Innovation Integrator ที่เชื่อมตั้งแต่การวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยและพัฒนา การสร้างต้นแบบ การดึงดูดการลงทุน จนถึงการนำไปสู่เชิงพาณิชย์ หัวใจสำคัญคือการสร้าง Green-to-Commercial Pipeline ทำให้นวัตกรรมด้านสุขภาพ ความยั่งยืน และอาหารแห่งอนาคตสามารถเข้าสู่ตลาดได้จริง ผ่านกลไกของไมซ์ที่เอื้อต่อการทดลองและการจับคู่ทางธุรกิจ ควบคู่กับการสร้างชุมชนของผู้ประกอบการ นักวิจัย นักลงทุน และองค์กร ที่เติบโตร่วมกัน และช่วยยกระดับไทยสู่การเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมสุขภาพและสีเขียวของเอเชีย
ไมซ์จึงต้องทำหน้าที่เป็นตลาดแบบไดนามิกในการจับคู่สตาร์ทอัพและผู้ประกอบการด้านสุขภาพ เทคโนโลยีชีวภาพ และ อาหารแห่งอนาคต กับนักลงทุนและผู้ซื้อจากองค์กร เป็นแพลตฟอร์มทดลองต้นแบบ และเป็นพื้นที่ความร่วมมือข้ามอุตสาหกรรมเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ สำหรับการเติบโตของไมซ์ ผู้ประกอบการและนักวิจัยในพื้นที่เร่งนวัตกรรมสู่ตลาด ภาครัฐใช้ไมซ์สร้างระบบนิเวศ และผลักดันนโยบายด้านสุขภาพและสีเขียวอย่างเป็นระบบ ขณะที่นักลงทุนและองค์กรสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและต้นแบบที่ผ่านการคัดกรอง ลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสการลงทุนคุณภาพสูง

Innovation Backbone ทำให้งานไมซ์ทุกประเภทกลายเป็นพื้นที่สร้างประสบการณ์ตรงให้ผู้เข้าร่วม (Experiential Commerce) โดยบูรณาการเทคโนโลยีเข้ากับประสบการณ์อย่างเป็นระบบ เพราะเทคโนโลยีไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือ แต่กลายเป็น เครื่องจักรขับเคลื่อนการเติบโต (Growth Engine) ของเศรษฐกิจยุคใหม่ ผู้ประกอบการไมซ์จึงต้อง คิดให้ก้าวไกล (Think Beyond) และปรับตัวเป็น แพลตฟอร์มเชิงกลยุทธ์ (Strategic Platform) ที่เชื่อมต่อผู้คนกับโอกาสในการสร้างประสบการณ์อย่างเป็นรูปธรรม ผู้เข้าร่วมงานในปัจจุบันไม่ได้ต้องการเพียง การรับข้อมูลแบบ Passive อีกต่อไป แต่ต้องการ ลอง-ตัดสินใจ-ลงทุน (Try-Decide-Invest) ในที่เดียว แนวคิด Innovation Backbone จึงเกิดขึ้นเพื่อบูรณาการเทคโนโลยีและประสบการณ์อย่างเป็นระบบ สร้าง ประสบการณ์ที่เพิ่มมูลค่า (Value-added Experience) และรองรับงานไมซ์อย่างครบวงจร ทั้งในฐานะตัวสร้างความต้องการ (Demand Generator) และตัวเร่งนวัตกรรม (Innovation Accelerator) เปลี่ยนทุกนวัตกรรมและเทคโนโลยีให้กลายเป็น ประสบการณ์ทางเศรษฐกิจ (Economic Experience) ที่จับต้องได้

มองภาพไมซ์จาก Big Picture สู่ Connector Connected to the Dot ทุก Player
การเป็น System Integrator ของอุตสาหกรรมไมซ์คือการยกระดับ “ไมซ์” ให้ทำหน้าที่เป็นระบบปฏิบัติการกลางของระบบนิเวศธุรกิจ เชื่อมข้อมูล ผู้เล่น และทรัพยากรจากทุกภาคส่วนเข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ ผ่านการขับเคลื่อนด้วย 3 แกนสำคัญ
Omni-Stakeholder Integration: การเชื่อมผู้เล่นทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน ตั้งแต่หน่วยงานรัฐ ผู้ประกอบการ ไปจนถึงนักลงทุน ผ่านเวทีและกลไกต่าง ๆ เพื่อให้ทุกคนมี Agenda และ Roadmap ร่วมกัน และผลลัพธ์ของงานไมซ์สามารถโยงไปสู่นโยบายหรือแผนระดับชาติ เป็นแพลตฟอร์ม Industry Collaboration ที่ทำงานร่วมกันอย่างยั่งยืนต่อเนื่อง และได้ Inclusive Growth
Specialized but Integrated: การนำความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของแต่ละผู้เล่น มาบูรณาการผ่านโครงสร้างงาน เช่น Exhibition, Forum, Innovation Showcase, Business Hub & Deal Room ทำให้องค์ความรู้ถูกเชื่อมเข้ากับการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างเป็นระบบ และสร้างโอกาสลงทุนและโครงการร่วม ทำให้เกิดกระบวนการคัดกรองและต่อยอดนวัตกรรม และการถ่ายทอดองค์ความรู้
Inside-Out & Outside-In Strategy: ไมซ์ทำหน้าที่เป็นผู้ส่งศักยภาพไทยไปสู่ตลาดโลก (Inside-Out) พร้อมเป็น Gateway ดึงทุน เทคโนโลยี และผู้เชี่ยวชาญต่างชาติเข้าสู่ไทย (Outside-In) ทำให้ไมซ์เป็นตัวสแกนเทรนด์โลก วิเคราะห์ตลาด และการประเมินความพร้อมของประเทศไทย เพื่อขยายศักยภาพสู่ตลาดโลก ดึงดูดทรัพยากรจากต่างประเทศ และก้าวสู่การเป็นประตูสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ เช่น Creative Economy, Green Economy, Digital Economy
โดยการสื่อสารกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทิศทางใหม่ของไมซ์ ต้องสะท้อนให้เห็นว่าไมซ์คือ ตลาดกลางเชิงกลยุทธ์ (Strategic Marketplace) ที่คัดคุณภาพทั้งผู้ซื้อ–ผู้ขาย–นักลงทุน และไมซ์ในมุมมองใหม่ที่ต้องมองผ่าน 4M เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม 1. Market for Entrepreneurs ไมซ์คือ ตลาดลดความเสี่ยง ให้ผู้ประกอบการไทยขยายสู่ต่างประเทศ เช่น การสร้าง Soft Landing Opportunities ให้ SMEs และ Startup ไทยทดลองตลาดต่างประเทศอย่างปลอดภัย 2. Metrics for Investors ไมซ์คือ แพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้ สำหรับวัดและประเมินเทคโนโลยี สินค้า และพันธมิตร ด้วยข้อมูลโปร่งใส เช่น การสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนด้วยข้อมูลเชิงลึก และผลลัพธ์จากสถาปัตยกรรมการจัดอีเวนต์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง และบูรณาการอย่างครบวงจร 3. Mission for Policy ไมซ์เป็น เครื่องมือยุทธศาสตร์ ผ่านการเชื่อม R&D อุตสาหกรรม และผู้ประกอบการรุ่นใหม่ เช่น การสร้าง Collaborative R&D Projects ระหว่างผู้ประกอบการ สถาบันวิจัย และนักลงทุน 4. Momentum for Society ไมซ์คือ แรงขับเคลื่อนสังคม สร้างงาน สร้างประสบการณ์ และยกระดับคุณภาพชีวิตด้วยนวัตกรรมและองค์ความรู้ เช่น การพัฒนา Inclusive Economy โดยสนับสนุน SMEs, Startup, และกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย

โดยในอนาคตข้างหน้า 3–5 ปี ตลาดไมซ์จะเติบโตแบบคุณภาพสูง ขับเคลื่อนด้วยดิจิทัลและนวัตกรรม ที่เชื่อมโยงระดับนานาชาติ พร้อมกับใช้มาตรฐานและตัวชี้วัด เป็นเครื่องมือหลักในการสร้างความเชื่อมั่นให้ทุกฝ่าย การมองไมซ์ในมุมใหม่ช่วยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มเห็นคุณค่า และโอกาสเชิงพาณิชย์ ทำให้ไมซ์กลายเป็นกลไกสำคัญในการสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างจับต้องได้
นี่เป็นเพียง “ส่วนหนึ่ง” ของแนวคิดและกลยุทธ์ไมซ์ไทยเท่านั้น ภาพรวมเชิงลึกของแนวทางการวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ และโอกาสใหม่ ๆ จะถูกต่อยอดอย่างครบถ้วนใน Excluisve Report ฉบับถัดไป ซึ่งคุณไม่ควรพลาด เพราะภายในจะเต็มไปด้วยข้อมูลเชิงลึก ข้อเสนอเชิงกลยุทธ์ ที่ช่วยผลักดันไมซ์ไทยให้ก้าวสู่ ศูนย์กลางไมซ์ระดับภูมิภาคและระดับโลกอย่างมั่นคงและยั่งยืน เตรียมตัวให้พร้อม แล้วติดตาม ตอนต่อไป เพราะนี่คือโอกาสที่จะเห็นทั้งภาพใหญ่ของอุตสาหกรรม!